สาเหตุ | |
| เกิดจาก เชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ซึ่งจะมีอยู่ในปาก และลำคอผู้ป่วย |
| |
อาการและการติดต่อ | |
| โดยการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ทำให้ติดต่อได้โดยตรงจากน้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย ด้วยการไอ จาม หรือหายใจ |
รดกัน หรืออาจติดต่อโดยการใช้ผ้าเช็ดหน้า ภาชนะในการดื่ม และรับประทานอาหารร่วมกับผู้ป่วย ระยะที่ติดต่อกันได้ คือ ระยะ | |
3 สัปดาห์แรกที่เริ่มเป็นโรคนี้ ระยะฟักตัว ประมาณ 7-10 วัน มีอาการเหมือนเป็นหวัดมีน้ำมูกและไอ ซึ่งแยกได้ยากจากหวัด | |
ธรรมดา แต่จะสังเกตได้ว่า อาการไอจะเรื้อรังเป็นแบบไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ และทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อเข้าสัปดาห์ที่ 2 | |
พอถึงสัปดาห์ที่ 3 อาการไอจะเป็นแบบไอกรน คือ ลักษณะการไอ จะไอติดๆ กัน จากนั้นหยุดแล้วหายใจเร็วและสั้น จึงมีเสียงวูฟ | |
แล้วมีอาการต่อไปอีกนาน 4-6 สัปดาห์ บางรายอาจจะนานถึง 10 สัปดาห์ หลังจากนั้น อาการไอซ้อนถี่ๆ จะค่อยลดลง แต่จะยังไอ | |
ต่อไปอีก 2-3 สัปดาห์ และจะหมดอาการของโรคเมื่อครบ 3 เดือนโดยประมาณ โรคแทรกซ้อนอาจจะเกิดปอดบวมในเด็กเล็ก | |
อาจจะมีอาการชักขณะที่ไอมากจนหายใจไม่ทัน หน้าเขียวเพราะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง อาจพบมีจุดเลือดออกที่หนังตาหรือใน | |
เยื่อตาก็ได้ เด็กอาจจะมีน้ำหนักตัวลด เพราะไอมากจนนอนไม่ได้เต็มที่ และได้อาหารไม่เต็มที่เนื่องจากอาเจียนหลังการไอ | |
ไอมากๆ ความดันในช่องท้องสูงขึ้น อาจจะเกิดไส้เลื่อนได้ เจ็บชายโครงจากกล้ามเนื้อทำงานมากอักเสบ ถ้าเป็นวัณโรคอาการ | |
ก็จะกำเริบขึ้นได้ | |
| โรคนี้พบมากในเด็กทุกเพศทุกวัย ที่มีอายุต่ำกว่า 7 ปี ในชุมชนที่มีประชาชนอาศัยอยู่รวมกันอย่างหนาแน่น มักพบ |
ผู้ป่วยด้วยโรคนี้สูง | |
| |
การป้องกัน | |
| ให้เด็กได้รับภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรน และโรคอื่น ๆ ตามกำหนด |
วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555
โรคไอกรน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น