วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555
10 อันดับสัตว์เลี้ยงที่นิยมเลี้ยงกันคร้า ^^
อันดับที่ 10 ''ชินลาล่า'' [Chinchilla]
อันดับที่ 9 "ชูการ์ไกร์เดอร์"
อันดับที่ 8 "กระรอก" [Squirrel]
อันดับที่ 7 "นก" [Bird]
อันดับที่ 6 "กระต่าย" [Rabbit]
อันดับที่ 5 "แฮมเตอร์" [Hamster]
อันดับที่ 4 "แกสบี้" [guinea pig]
อันดับที่ 3 "ปลา" [fish]
อันดับที่ 2 "แมว" [Cat]
ว้าววว ว ๆ ๆ ๆ ในที่สุดก็เดินทางมาถึงอันดับ 1 แล้วก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ ซึ่งอันดับหนึ่งของเรา ก็คือ น้องโอ่ง งงๆ หรือน้องสุนัขนั่นเองจ้า ^^
วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555
ตัวอักษรคะตะคะนะของภาษาญี่ปุ่น
チ イ ウ エ オ
カ キ ク ケ コ
サ シ ス セ ソ
タ チ ツ テ ト
ナ ニ ヌ ネ ノ
ハ ヒ フ ヘ ホ
マ ミ ム メ モ
ヤ ユ ヨ
ラ リ ル レ ロ
ワ ン
ตัวอักษรฮิระงะนะของภาษาญี่ปุ่น
あ い う え お
か き く け こ
さ し す せ そ
た ち つ て と
な に ぬ ね の
は ひ ふ へ ほ
ま み む め も
や ゆ よ
ら り る れ ろ
わ ん
วิธีการรักษาโรคคางทูม
การรักษาโรคคางทูมไม่มีอะไรยุ่งยาก เพียงแต่ให้นอนพักผ่อน อย่าให้กระโดดโลดเต้นที่อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนง่ายขึ้น ให้ยาลดไข้แก้ปวด รักษาสุขภาพในช่องปาก โดยใช้น้ำยาบ้วนปาก ทำความสะอาดช่องปากหลังอาหาร โรคคางทูมจะมีปัญหายุ่งยากเมื่อมีอาการแทรกซ้อนรุนแรงเท่านั้น ปัจจุบันนี้มีวัคซีนป้องกันโรคคางทูมซึ่งมีความปลอดภัยในการใช้ โรคคางทูมจึงไม่เป็นปัญหายุ่งยากอีกต่อไป
สมัยผมยังเด็กวัคซีนป้องกันโรคคางทูมยังไม่มี เด็กซึ่งเป็นคางทูม จึงพบเห็นกันเป็นเรื่องประจำวัน ตอนผมอยู่ชั้นประถม เพื่อนที่เป็นคางทูมหลายคนยังคงมาโรงเรียนเพราะไม่ได้มีอาการอะไรมาก นอกจากแก้มโย้ ครูเห็นเข้าก็ต้องเรียกผู้ปกครองมารับกลับ ขืนปล่อยไว้อาจติดคางทูมกันทั้งชั้นเรียน
การรักษาโรคคางทูมสมัยผมยังเด็กก็แสนง่าย เมื่อผมติดคางทูมมาผู้ใหญ่ก็ให้นอน ห้ามไปวิ่งเล่น แล้วหายาพื้นบ้านประเภทยาเขียว ยาจันทร์ มาละลายน้ำให้กิน เพื่อขับพิษลดไข้ ตกบ่ายค่ำไข้ขึ้นรุมๆ แม่ก็เอายาลดไข้ น้ำสีแดงมาให้กิน ยาน้ำเชื่อมลดไข้นี้นิยมกันมากในสมัยนั้น เรียกว่า ยาแก้ซางตัวร้อน เด็กชอบกินเพราะรสหวานกลิ่นหอมน้ำกุหลาบ มาทราบเมื่อเข้าเรียนแพทย์ว่ายานี้ที่แท้ก็คือ โซเดียมซาลิซิเลท ยาแก้ไข้แก้ปวดตระกูลเดียวกับแอสไพรินนั่นเอง
ส่วนบริเวณหน้าหูที่บวมเจ็บ แม่หายาเย็น ๆ มาทาให้ เชื่อว่าแก้บวมแก้ปวดได้ เด็กบางคนพ่อแม่พาไปหาซินแสยาจีน ได้ยาสมุนไพรผสมเหล้าที่เรียกว่า ยาแชเฉ้ามาทาเขียวเปรอะไปหมด แต่เด็กสบายหายเจ็บดี
เด็กบางคนที่เป็นคางทูมพ่อแม่พาไปเขียนคำว่า "โฮ้ว" ในภาษจีนตรงแก้มที่บวม เรื่องนี้เนื่องมาจากความเชื่อของคนจีนว่า โรคคางทูมเกิดจากปีศาจหมู ทำให้แก้มบวมคล้ายหมู คนจีนเรียกโรคนี้ว่า ตือเถ้าปุ๊ย (แปลว่าบวมเป็นหัวหมู) จึงแก้โดยใช้เสือปราบ วิธีการก็ง่าย ให้เสาะหาคนปีขาลมาเขียนคำว่า "โฮ้ว" ด้วยหมึกจีน ลงบนแก้มที่บวมนั้น เสือจะไปไล่ปีศาจหมูให้หนีไป แก้มที่บวมโย้ ก็จะยุบลงเป็นปกติ
ครูแพทย์ท่านหนึ่งบอกว่าการใช้หมึกจีนเขียนลงไปบนแก้มที่บวม ไม่มีอะไรเสียมีแต่ผลดี เพราะหมึกจีนช่วยให้เย็นสบายผลพลอยได้ คือช่วยด้านกำลังใจแก่ทั้งเด็กที่ป่วยและผู้ปกครองอีกส่วนหนึ่ง
เดี๋ยวนี้หาคนที่เป็นคางทูมแล้วไปหาคนปีขาลช่วยเขียน "โฮ้ว" ได้ยาก เพราะไปให้โฮ้ว-เอ๊ย, แพทย์เขียนใบสั่งยารักษาง่ายกว่าเป็นไหนๆ ประการสุดท้ายคือ จะมีคนสักกี่คนที่ทราบว่าตนเองเป็นคนปีขาล
สมัยผมยังเด็กวัคซีนป้องกันโรคคางทูมยังไม่มี เด็กซึ่งเป็นคางทูม จึงพบเห็นกันเป็นเรื่องประจำวัน ตอนผมอยู่ชั้นประถม เพื่อนที่เป็นคางทูมหลายคนยังคงมาโรงเรียนเพราะไม่ได้มีอาการอะไรมาก นอกจากแก้มโย้ ครูเห็นเข้าก็ต้องเรียกผู้ปกครองมารับกลับ ขืนปล่อยไว้อาจติดคางทูมกันทั้งชั้นเรียน
การรักษาโรคคางทูมสมัยผมยังเด็กก็แสนง่าย เมื่อผมติดคางทูมมาผู้ใหญ่ก็ให้นอน ห้ามไปวิ่งเล่น แล้วหายาพื้นบ้านประเภทยาเขียว ยาจันทร์ มาละลายน้ำให้กิน เพื่อขับพิษลดไข้ ตกบ่ายค่ำไข้ขึ้นรุมๆ แม่ก็เอายาลดไข้ น้ำสีแดงมาให้กิน ยาน้ำเชื่อมลดไข้นี้นิยมกันมากในสมัยนั้น เรียกว่า ยาแก้ซางตัวร้อน เด็กชอบกินเพราะรสหวานกลิ่นหอมน้ำกุหลาบ มาทราบเมื่อเข้าเรียนแพทย์ว่ายานี้ที่แท้ก็คือ โซเดียมซาลิซิเลท ยาแก้ไข้แก้ปวดตระกูลเดียวกับแอสไพรินนั่นเอง
ส่วนบริเวณหน้าหูที่บวมเจ็บ แม่หายาเย็น ๆ มาทาให้ เชื่อว่าแก้บวมแก้ปวดได้ เด็กบางคนพ่อแม่พาไปหาซินแสยาจีน ได้ยาสมุนไพรผสมเหล้าที่เรียกว่า ยาแชเฉ้ามาทาเขียวเปรอะไปหมด แต่เด็กสบายหายเจ็บดี
เด็กบางคนที่เป็นคางทูมพ่อแม่พาไปเขียนคำว่า "โฮ้ว" ในภาษจีนตรงแก้มที่บวม เรื่องนี้เนื่องมาจากความเชื่อของคนจีนว่า โรคคางทูมเกิดจากปีศาจหมู ทำให้แก้มบวมคล้ายหมู คนจีนเรียกโรคนี้ว่า ตือเถ้าปุ๊ย (แปลว่าบวมเป็นหัวหมู) จึงแก้โดยใช้เสือปราบ วิธีการก็ง่าย ให้เสาะหาคนปีขาลมาเขียนคำว่า "โฮ้ว" ด้วยหมึกจีน ลงบนแก้มที่บวมนั้น เสือจะไปไล่ปีศาจหมูให้หนีไป แก้มที่บวมโย้ ก็จะยุบลงเป็นปกติ
ครูแพทย์ท่านหนึ่งบอกว่าการใช้หมึกจีนเขียนลงไปบนแก้มที่บวม ไม่มีอะไรเสียมีแต่ผลดี เพราะหมึกจีนช่วยให้เย็นสบายผลพลอยได้ คือช่วยด้านกำลังใจแก่ทั้งเด็กที่ป่วยและผู้ปกครองอีกส่วนหนึ่ง
เดี๋ยวนี้หาคนที่เป็นคางทูมแล้วไปหาคนปีขาลช่วยเขียน "โฮ้ว" ได้ยาก เพราะไปให้โฮ้ว-เอ๊ย, แพทย์เขียนใบสั่งยารักษาง่ายกว่าเป็นไหนๆ ประการสุดท้ายคือ จะมีคนสักกี่คนที่ทราบว่าตนเองเป็นคนปีขาล
โรคไอกรน
สาเหตุ | |
| เกิดจาก เชื้อแบคทีเรีย Bordetella pertussis ซึ่งจะมีอยู่ในปาก และลำคอผู้ป่วย |
| |
อาการและการติดต่อ | |
| โดยการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ทำให้ติดต่อได้โดยตรงจากน้ำมูก น้ำลาย เสมหะของผู้ป่วย ด้วยการไอ จาม หรือหายใจ |
รดกัน หรืออาจติดต่อโดยการใช้ผ้าเช็ดหน้า ภาชนะในการดื่ม และรับประทานอาหารร่วมกับผู้ป่วย ระยะที่ติดต่อกันได้ คือ ระยะ | |
3 สัปดาห์แรกที่เริ่มเป็นโรคนี้ ระยะฟักตัว ประมาณ 7-10 วัน มีอาการเหมือนเป็นหวัดมีน้ำมูกและไอ ซึ่งแยกได้ยากจากหวัด | |
ธรรมดา แต่จะสังเกตได้ว่า อาการไอจะเรื้อรังเป็นแบบไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ และทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อเข้าสัปดาห์ที่ 2 | |
พอถึงสัปดาห์ที่ 3 อาการไอจะเป็นแบบไอกรน คือ ลักษณะการไอ จะไอติดๆ กัน จากนั้นหยุดแล้วหายใจเร็วและสั้น จึงมีเสียงวูฟ | |
แล้วมีอาการต่อไปอีกนาน 4-6 สัปดาห์ บางรายอาจจะนานถึง 10 สัปดาห์ หลังจากนั้น อาการไอซ้อนถี่ๆ จะค่อยลดลง แต่จะยังไอ | |
ต่อไปอีก 2-3 สัปดาห์ และจะหมดอาการของโรคเมื่อครบ 3 เดือนโดยประมาณ โรคแทรกซ้อนอาจจะเกิดปอดบวมในเด็กเล็ก | |
อาจจะมีอาการชักขณะที่ไอมากจนหายใจไม่ทัน หน้าเขียวเพราะสมองขาดเลือดไปเลี้ยง อาจพบมีจุดเลือดออกที่หนังตาหรือใน | |
เยื่อตาก็ได้ เด็กอาจจะมีน้ำหนักตัวลด เพราะไอมากจนนอนไม่ได้เต็มที่ และได้อาหารไม่เต็มที่เนื่องจากอาเจียนหลังการไอ | |
ไอมากๆ ความดันในช่องท้องสูงขึ้น อาจจะเกิดไส้เลื่อนได้ เจ็บชายโครงจากกล้ามเนื้อทำงานมากอักเสบ ถ้าเป็นวัณโรคอาการ | |
ก็จะกำเริบขึ้นได้ | |
| โรคนี้พบมากในเด็กทุกเพศทุกวัย ที่มีอายุต่ำกว่า 7 ปี ในชุมชนที่มีประชาชนอาศัยอยู่รวมกันอย่างหนาแน่น มักพบ |
ผู้ป่วยด้วยโรคนี้สูง | |
| |
การป้องกัน | |
| ให้เด็กได้รับภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไอกรน และโรคอื่น ๆ ตามกำหนด |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)